วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

ร้านเหล้าปั่น ภัยคุกคามเด็กไทย

ความพยายามส่งเสียงบอกรัฐให้เร่งจัดการปัญหาเหล้าปั่นและร้านเหล้ารอบสถานศึกษา ด้วยการให้ออกประกาศควบคุมโดยเร็ว เป็นเรื่องที่เครือข่ายเยาวชนพูดกันมายาวนาน เรียกได้ว่าไม่ว่าจะไปเวทีไหนก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้ทุกครั้งไป โดยเหตุผลที่เหล่าเยาวชนมองเรื่องการออกมาตรการควบคุมร้านเหล้าให้ชัดเจนนั้น เป้าหมายเพื่อคุ้มครองเยาวชน เนื่องจากร้านเหล้ารอบสถานศึกษามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก

ล่าสุด เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่จากองค์กรทั่วประเทศเข้าพบ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้แก้ปัญหาเหล้าปั่นรอบสถานศึกษา ที่ทำเนียบรัฐบาล ทุกเสียงของเยาวชนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันโดยให้คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติเร่งพิจารณาร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมเหล้าปั่นและร้านเหล้าปั่นรอบสถานศึกษา และให้ขึ้นราคาใบอนุญาตดังกล่าวทำได้ยากขึ้น

อุกฤษฏ์ จันทวี ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ผู้ประสานงานเยาวชนหัวกะทิสร้างสรรค์ 9 สถาบัน หนึ่งในเครือข่ายเยาวชน กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเยาวชนไทยอยู่ในภาวะวิกฤติแล้ว มีการสำรวจพบว่า เยาวชนอายุ 7ปี เริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วทั้งที่น้องๆ อยู่ในช่วงประมเท่านั้น ขณะที่เด็กที่อยู่ในช่วงชั้นมัธยมก็เข้าสู่วงจรนักดื่มหน้าใหม่ผ่านเหล้าปั่น โดยร้านมีกลยุทธ์ดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นมากมาย แต่งร้านน่ารักๆ ราคาก็โดนใจโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงพบว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเหล้าปั่น ซึ่งทุกวันนี้แทรกซึมเข้าสู่เด็กและเยาวชนไทยมาก ง่ายต่อการเข้าถึงร้านเหล้าเพราะตั้งอยู่โดยรอบสถานศึกษา และจำนวนร้านก็เพิ่มขึ้น

"หากยังมีร้านเหล้าปั่นล้อมรอบสถานศึกษา รอบมหาวิทยาลัยใกล้ๆโรงเรียนเพียงแค่ถนนคั่นกลางก็มีร้านเหล้า มองอนาคตของเด็กไทยไม่ออกว่าจะเป็นเช่นไร ไม่รู้ว่าจะมีเยาวชนอีกกี่คนที่ต้องตกเป็นทาสของน้ำเมา"

ผู้ประสานงานเยาวชนหัวกะทิสร้างสรรค์ฯ กล่าวว่า ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวด มีร้านเหล้า ร้านค้า รวมถึงร้านสะดวกซื้อที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จำหน่ายแอลกอฮอล์ให้กับเยาวชน อยากขอให้รัฐควบคุมให้มากขึ้นกว่านี้สำหรับร้านต่างๆ อยากให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยกันดูแลเยาวชน ไม่ใช่มุ่งหารายได้เพียงอย่างเดียว สงสารลูกหลานของเรากันบ้าง นอกจากนี้ กลุ่มทุนที่ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจน้ำเมา ควรหันกลับมายึดหลักธรรมาภิบาล เปลี่ยนไปประกอบธุรกิจสร้างสรรค์สังคม สมควรหยุดได้แล้ว ประเทศไทยต้องการคนที่มีศักยภาพในการทำงานมากกว่าคนเมาแล้วหลับหรือเมาแล้วขับ ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย ทั้งอาชญากรรม ความรุนแรง ยังไม่รวมถึงปัญหาสุขภาพที่มีงานวิจัยยืนยันว่า เหล้าเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมากกว่า 60 โรค ไม่ใช่แค่โรคตับแข็งที่ใครๆเข้าใจเท่านั้น

นอกจากนี้อุกฤษฏ์ได้กล่าวว่า หลังจากได้ยื่นหนังสือให้กับ พล.ต.สนั่น เพื่อให้เร่งจัดการออกประกาศหรือมาตรการต่างๆซึ่งในวันนั้นท่านก็รับปากจะจัดการให้ ทางเครือข่ายเยาวชนก็กำลังจับตาดูว่าจะมีความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ทราบว่าคณะกรรมการชุดนี้จะมีการประชุมต้นเดือนตุลาคม เรียกหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมาหารือและหาทางออกของการแก้ปัญหา หากได้ผลสรุปการประชุมที่ดี เป็นที่น่าพอใจ ผู้ใหญ่ช่วยจัดการปัญหานี้เพื่อให้เยาวชนรอดพ้นมหันตภัยน้ำเมา ทางเครือข่ายจะนัดรวมตัวอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปยื่นหนังสือขอบคุณที่ทุกฝ่ายมีความจริงใจในการแก้ปัญหาแต่ หากไม่มีแนวทางปฏิบัติออกมาชัดเจนในการควบคุมร้านเหล้ารอบสถานศึกษาเราคงจะต้องหารือกันในเครือข่าย พร้อมทั้งกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ต่อไป จะไม่ละความพยายามอย่างแน่นอน

"การรวมตัวกันของเยาวชนเพื่อเรียกร้องในเรื่องนี้ เราหวังเห็นสังคมที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่สำคัญต้องการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคมไทยที่มองว่า การดื่มสุราช่วยให้เข้าสังคมได้ ทำให้มีเพื่อน มีมิตรภาพเกิดขึ้น เพราะการอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นที่ยอมรับของคนอื่นนั้นขึ้นกับการประพฤติปฏิบัติตัวกับสังคม ไม่ใช่การดื่มเหล้าเบียร์"อุกฤษฏ์ ในฐานะตัวแทนเยาวชนกล่าวถึงเจตนารมณ์ในการทำงานต้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งพวกเขาต่างเห็นว่า การรุกเข้ามาของธุรกิจน้ำเมาเป็นภัยคุกคามเยาวชนที่ยิ่งใหญ่ในขณะนี้

*ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์*

“ขยายเวลาเล่นเกม” คุณคิดเห็นอย่างไร?


ผู้ปกครองหวั่นทำเด็กติดหนักมากขึ้น

ลองมาทบทวนกันดูหน่อยนะคะว่ากฎกระทรวงประกอบภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ.2551 จำนวน 2 ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอะไรกันบ้าง ในที่นี้ดิฉันขอเฉพาะเจาะจง ว่าด้วยเรื่องของร้านเกมล้วนๆ ค่ะ

กำหนดระยะเวลาในการเล่นเกม และการใช้บริการร้านเกมของเด็กที่ผ่านกฎกระทรวง มีดังนี้

1) เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าใช้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ได้ตั้งแต่เวลา 14.00 - 20.00 น. และตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ในวันหยุดราชการ และวันปิดภาคเรียน

2) เด็กอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 18 ปีเข้าใช้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ได้ตั้งแต่เวลา 14.00 - 22.00 น. และตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. ในวันหยุดราชการ และวันปิดภาคเรียน

หรือถ้าใช้ภาษาของร้านเกม ที่ส่งรายละเอียดผ่านเว็บไซต์แจ้งลูกค้าทางอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายก็คือ

ร้านเกม เวลา เปิด - ปิด 08.00 - 02.00 ของทุกวัน

ร้านอินเทอร์เน็ต เวลา เปิด - ปิด ตลอดเวลาทำการ ข้อห้าม วันจันทร์ - ศุกร์

เด็กต่ำกว่า 15 ปี 14.00 - 20.00 น.

เด็กต่ำกว่า 18 ปี 14.00 - 22.00 น.

วันหยุด วันปิดการเรียน เด็กต่ำกว่า 15 ปี 10.00 - 20.00 น.

อายุ 18 ปี 10.00 - 22.00 น.

และก็มีประโยคห้อยท้ายว่า "มีวิธีให้ท่านสมาชิกสามารถเปิดได้ 24 ชม.ได้ 365 วัน"

ขณะเดียวกัน ลองมาดูกฎกระทรวงเมื่อปี 2549 ก่อนที่จะมีการแก้ไขล่าสุด มีสาระสำคัญในเรื่องการควบคุมร้านเกมว่า ให้ควบคุมร้านเกมเหมือนกับร้านจำหน่ายสุรา คือ กำหนดอายุเด็ก 7 - 18 ปีห้ามเล่นเกิน 3 ชม. ตั้งแต่ 16.00 - 18.00 น. ในวันจันทร์ - ศุกร์ ส่วนเสาร์ - อาทิตย์ ให้เป็นไปตามเดิมแล้ว ทั้งยังห้ามไม่ให้อยู่ใกล้สถานศึกษา 500 เมตร และไม่ควรอยู่ในย่านชุมชน

เหตุผลในขณะนั้นเพราะเป็นกังวลต่อผลกระทบจากร้านเกมที่มีต่อเด็กนักเรียน เช่น ทำให้เด็กมีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยลงและไม่มีเวลาดูหนังสือ เป็นต้น ที่ประชุมจึงได้มีข้อเสนอแนะที่จะให้จำกัดอายุเด็ก และเวลาในการเล่นเกม โดยจะขอให้มีการแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 12 พ.ศ. 2549 ในประเด็นอายุว่าควรกำหนดอายุของเด็กไว้ที่ 7 - 18 ปี และให้เข้าร้านเกมเล่นได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 16.00 - 18.00 น. ในวันจันทร์ศุกร์ ส่วนวันเสาร์ - อาทิตย์ก็ให้เป็นไปตามประกาศเดิม

สำหรับสถานที่ที่เปิดร้านเกม ก็จะขอให้ควบคุมเช่นเดียวกับการเปิดร้านจำหน่ายสุราที่ไม่ควรอนุญาตให้เปิดในรัศมี 500 เมตรรอบสถานศึกษา และไม่ควรให้อยู่ในย่านชุมชนด้วยคุณผู้อ่านรู้สึกอย่างไร ?

โดยเฉพาะคนเป็นพ่อแม่ คุณรู้สึกอย่างไร? เหตุไฉนการแก้ไขกฎกระทรวงกลับกลายเป็นว่าเด็กสามารถเข้าถึงร้านเกมในช่วงเวลาได้มากขึ้นกว่าเดิม ในทางตรงกันข้าม เท่ากับเอื้อประโยชน์ให้บรรดาร้านเกมมากขึ้นอีกต่างหาก

บรรดาคนเป็นพ่อแม่ที่ดิฉันได้มีโอกาสสัมผัส รวมถึงเปิดสายโทรศัพท์ผ่านทางคลื่นวิทยุที่ดิฉันเป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของคนเป็นพ่อแม่ต่อกรณีดังกล่าว ไม่มีใครเห็นด้วยต่อกฎกระทรวงล่าสุดที่ผ่านไปแล้วครั้งนี้ พร้อมทั้งบอกตรงกันว่าไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนภาครัฐจึงปล่อยให้ผ่านไปได้

อีกทั้งประชาชนก็ไม่มีโอกาสมีปากมีเสียงต่อกรณีดังกล่าว ล่าสุด นพ.บัณฑิต ศรไพศาล จากสถาบันจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะได้อย่างน่าสนใจว่าปัญหาเรื่องเด็กติดเกมในปัจจุบันสถานการณ์รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวเลขจากกรมสุขภาพจิตพบเด็กที่ติดเกมรุนแรงเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จำนวน 5% ต่อจำนวนประชากรเด็กทั้งหมด ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 9% และเด็กที่พบเป็นเด็กระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในอดีตพบเด็กระดับมัธยมปลายเป็นปัญหามากที่สุด และขยับลงมาเป็นระดับมัธยมต้นปัจจุบันที่น่าเป็นห่วงลงมาถึงระดับประถมตอนปลาย

สาเหตุหลักมาจาก 2 ปัจจัย

ปัจจัยภายใน เกิดจากการที่เด็กต้องการได้รับการยอมรับอยากเป็นฮีโร่ และในโลกของเกมเขาสามารถเป็นได้รวมถึงเด็กไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องวินัยมาตั้งแต่เล็ก ก็เลยไม่สามารถหยุดเล่นเกมได้

ปัจจัยภายนอก เพราะเด็กสามารถเข้าถึงเกมได้ง่าย บางบ้านก็มีคอมพิวเตอร์ในบ้าน บางบ้านที่ไม่มี เด็กก็สามารถไปร้านเกมได้ไม่ยาก

แล้ววิธีป้องกัน ?

หนึ่ง - คนส่วนนี้เกี่ยวข้องกับพ่อแม่โดยตรง พ่อแม่ต้องเรียนรู้วิธีการดูแลลูกให้มากขึ้น ต้องมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบและสร้างวินัยให้แก่ลูกตั้งแต่ยังเล็ก

สอง - สิ่งแวดล้อมส่วนนี้เกี่ยวข้องกับโรงเรียน ชุมชน ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้อย่างหลากหลาย มีกิจกรรมที่เหมาะสม และทางเลือกให้แก่เด็กอย่างสม่ำเสมอ

สาม - ภาครัฐนั่นก็คือการจัดระเบียบร้านเกม ควบคุมการเปิดปิด รวมถึงการจัดเรตติ้ง และคำนึงถึงสถานที่ตั้ง

เรียกว่า ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมต่อปัญหาเรื่องเด็กติดเกมข้อหนึ่งและข้อสอง เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของคนเป็นพ่อแม่และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ที่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ แต่ข้อสามนี่สิ เหตุใดจึงช่วยสนับสนุนให้ขยายช่วงจำกัดเวลาของร้านเกมให้มากขึ้น

ที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายดีๆ ในบ้านเราก็ไม่ค่อยได้ผลอยู่แล้ว ขนาดกฎกระทรวงครั้งนี้เอื้อให้แก่ร้านเกมเป็นอย่างมาก บรรดาร้านเกมเขาก็ยังมีเทคนิคบอกลูกค้ากันแล้วผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตว่ามีวิธีเล่นเกมได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ยอมรับเถอะค่ะ...เรื่องเทคโนโลยีกับคนรุ่นใหม่ไปเร็วกว่าที่เราคิดเยอะ ยิ่งถ้าไม่เข้มงวดต่อมาตรการที่ต้องควบคุมเด็กและเยาวชนแล้วล่ะก็ น่าเป็นห่วงอย่างมาก

ดิฉันพยายามมองหาเหตุผลดีๆ เกี่ยวกับการประกาศกฎกระทรวงครั้งนี้ ว่าจะช่วยปกป้องเด็กและเยาวชนของเราได้อย่างไร มีอะไรซ่อนอยู่ที่เรามองไม่เห็นหรือเปล่าหนอ..!!

อยากจะถามดังๆ ว่าท้ายสุดใครคือคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ หากมาตรการล่าสุดมีส่วนต่อการทำให้เด็กติดเกมเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นผลเสียต่อสังคมโดยรวม


*ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ*

หมอแนะ ทริกง่ายๆ `Excercise สมอง'

ลดความเสี่ยง อัลไซเมอร์

พูดถึงเรื่องออกกำลังกาย ร้อยทั้งร้อยทุกคนต้องรู้จัก แต่ถ้าจะเอ่ยถึงการ"ออกกำลังสมอง" หลายคนอาจจะไม่เข้าใจและไม่รู้ต้องทำอย่างไร อีกทั้งไม่ทราบว่าต้องทำไปเพื่ออะไร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาได้ให้ความกระจ่างว่าการออกกำลังกายสมองมีประโยชน์มาก เพราะนอกจากจะทำให้เป็นคนมีความจำดี คิดอะไรได้รวดเร็วแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

นพ.มัยธัช สามเสน ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา แนะนำวิธีการออกกำลังกายสมองแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์ว่า ตามปกติคนทั่วไปจะทำอะไรเป็นกิจวัตร มีอิริยาบถที่ซ้ำๆ ทำให้สมองที่ถูกใช้ก็จะเป็นส่วนที่ซ้ำเดิม วิธีการออกกำลังกายสมองก็คือ ใช้สมองส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ และใช้ให้ครบทั้งสองส่วน ด้วยการทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ หรือทำกิจกรรมสองอย่างไปพร้อมกัน

"นอกจากการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินอาหารที่มีสารบำรุงสุขภาพ เช่นโอเมกาสามจากปลาแล้ว การออกกำลังกายสมองเพื่อให้สมองได้ใช้งานครบทั้งสองด้านเป็นเรื่องที่สำคัญและจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เช่นการทำในสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำ ทำอะไรที่ไม่ทำเป็นกิจวัตร อาจจะวาดรูป ร้องเพลง ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา คิดเลขทำปริศนาอักษรไขว้หรือเล่นเกมฝึกทักษะการคิดให้สมองถูกใช้ หรือจะทำอะไรไปพร้อมๆสองอย่าง เช่นอาบน้ำไปร้องเพลงไป ออกกำลังกายไปร้องเพลงไป เหล่านี้ก็จะช่วยให้สมองได้ออกกายบริหารแล้วครับ"

และสำหรับบรรดาหนอนหนังสือทั้งหลาย งานนี้มีเฮ เพราะผอ.สถาบันประสาทวิทยาระบุชัดว่า กิจกรรมโปรดยามว่างของหลายๆ คนอย่าง "การอ่านหนังสือ" นั้น เป็นอีกหนึ่ง"ตัวช่วย" ในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์เช่นกัน


*ที่มา/ภาพ: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน*

ควาย..ย..ย (ข้อคิดดีๆ ลองอ่านดู)



ควาย..ย..ย (อ่านกันก่อนนะ)
ขณะที่ผมกำลังขับรถเดินทางไปจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวบนเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทันใดนั้นเองผมเห็นรถโผล่พ้นเหลี่ยมเขาซึ่งเป็นทางโค ้งวิ่งมาด้วยความเร็วลักษณะส่ายไปมาแถมยังกินเลนเข้า มายังถนนฝั่งของผม ทำให้ผมต้องเบรกจนตัวโก่งพร้อมกับหักรถหลบลงไหล่ทาง คนขับเป็นผู้หญิง ก่อนที่รถจะสวนกันเขาก็ชะโงกหน้าออก จากรถแล้วตะโกนด้วยเสียงดังว่า " ควาย...ย...ย "

มันทำให้ผมโมโหมากจึงตะโกนสวนออกไปว่า "E... ค...ว...า...ย " ขี่รถผิดกฎจราจรจนเกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่พอยังมาด่าเราอีก ยังดีนะที่เราด่ามันทันก่อนที่มันจะขับรถสวนพ้นไป มัวแต่นึกแค้นใจที่ถูกด่าอยู่นั้นทันทีที่ผมขับรถพ้น เหลี่ยมเขา " เอี๊ยด...เอี๊ยด...โครม... " รถผมก็ชนควายเข้าอย่างจัง
( ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาบอกเราว่ามีฝูงควายอยู่ข้างหน้า เพราะกรอบความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ของเราทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าความหวังดีที่ เตือนให้ระวังเพราะมีควายอยู่ข้างหน้า กลายเป็นการคิดว่าถูกด่าว่าเป็นควาย )
นี่คือโทษของการคิดอยู่แต่ในกรอบ และมองโลกในแง่ ร้ายเสมอ

10 เทคนิค หยุดวัยรุ่นคิดฆ่าตัวตาย


1. พูดคุยด้วยความสนใจ

2. สนับสนุนให้เขาได้พูด ได้ระบาย

3. รับฟังและพยายามเข้าใจมุมมองของเขา

4. บอกเขาว่าคุณรักและห่วงใย

5. ไม่ตัดสินว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก ไม่ดูถูกเขา

6. ไม่ขัดจังหวะให้เขาพูดจนจบ แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วย

7. สนับสนุนให้เขาแสดงความรู้สึก แม้ว่าจะต้องร้องไห้

8. ไม่แนะนำแต่ช่วยกันหาทางออก หลังจากที่เขาได้แสดงความรู้สึกแล้ว พยายามให้เขาหาทางเลือกต่าง ๆ

9. ให้เวลาและโอกาสกับเขา ไม่เร่งเร้า

10. ถามคำถามปลายเปิด คือ ไม่ถามว่าใช่หรือไม่ เพื่อเขาจะได้หาทางออกได้

พริกขี้หนูสดลดระดับน้ำตาลในเลือด


เผย Capsaicin ในพริก กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
Capsaicin ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด


รศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยเรื่อง “เภสัชจลนศาสตร์ของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี” เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่


Capsaicin ว่าพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีในการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง


การวิจัยเลือกใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม ผลปรากฏว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ราย


อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งรับประทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้นสูง อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มรับประทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 เป็นต้นไป


กลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแคปซูลเปล่า และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ


นอกจากนี้ จากการวิจัยโดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลเปล่ามารับประทานพริกขี้หนูสด และเจาะเลือดวัดระดับอินซูลิน รวมทั้งวัดระดับ Capsaicin ในเลือดของอาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดที่บรรจุในแคปซูล ผลปรากฏว่าระดับอินซูลินในกลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานพริกขี้หนูสดอยู่ในระดับคงที่ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับอินซูลินลดลง


แสดงให้เห็นว่า Capsaicin จากพริกขี้หนูสดสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5 กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่ Capsaicin เข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินนั่นเอง


รศ.สุพีชา กล่าวเสริมว่า นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานต่อไป

ลดความเครียด ทำสมาธิ


คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าทำไมจึงเครียด เพราะไม่เคยสังเกตเฝ้าดูใจตัวเองอย่างตรงไปตรงมา บางคนความเครียดจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาจนเกิดอาการไม่สบาย เช่น ปวดเมื่อยต้นคอ ศีรษะ หนักหัว มึนงง นอนไม่หลับ เป็นต้น

วิธีจัดการกับความเครียดมี 2 วิธีใหญ่ คือ วิธีทางอ้อม และ วิธีทางตรง วิธีทางอ้อม ได้แก่ การคลายเครียดด้วยวิธีต่างๆ เมื่อเกิดความเครียดขึ้นแล้ว เช่น พักผ่อนหย่อนใจ ดูหนัง ฟังเพลง หัวเราะ ตั้งวงกินเหล้า เป็นต้น ส่วนวิธีทางตรง คือวิธีที่สามารถระงับหรือป้องกันไม่ให้เครียด เช่น การตั้งสติเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เครียด การเจริญสมาธิ เป็นต้น ซึ่งมีถึง 40 วิธี วิธีที่นิยมมากคือ อาณาปานสติ โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกจนจิตสงบตั้งมั่น อิริยาบถใหญ่ทั้ง 4 ของคนเราก็เจริญสมาธิได้ เช่น นั่งสมาธิแบบพุทธหรือแบบชี่กง นอนท่าศพแบบโยคะ ยืนอรหันต์แบบชี่กง หรือ เดินจงกรมแบบพุทธ โดยใช้ใจที่มีสมาธิพิจารณาความเครียด


ตัวอย่างวิธีการนั่งสมาธิอย่างง่าย


1.เวลาที่นั่งสมาธิควรเป็นเวลาที่ไม่หิว ไม่อิ่ม ไม่กลั้นอุจจาระ/ปัสสาวะ นั่งบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพึงหรือไม่พึงพนักในท่าที่สบาย ยืดตัวตรง มือทั้งสองวางบนหน้าตัก ผ่อนคลายทั้งตัว(ท่าทาง)


2.กำหนดใจให้สนใจแต่เสียงเพลงสวดหรือเพลงบรรเลง หายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ (วิตก)


3.ถ้าใจคิดถึงเรื่องใดๆ ให้กำหนดใจกลับมาที่เสียงเพลงทุกครั้ง ประคองใจไว้ (วิจาร)


4.ถ้ามีอาการบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกาย เช่น ร้อน ชา น้ำมูกน้ำตาไหล เป็นต้น (ปีติ) ให้เฝ้าดูอาการนั้นไปเรื่อย ๆ ใจยังกำหนดอยู่ที่เสียงเพลง จนรู้สึกความสงบสุขในใจ (ปัสสัทธิ สุข)


5.รู้สึกกายผ่อนคลาย ใจโปร่งเบา ปล่อยวางจากความเครียดต่างๆ ถ้าใจสมาธิจิตขณะนั้น มาพิจารณาเหตุปัจจัยในการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดจะทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของการใช้ชีวิตของเราได้อย่างชัดแจ้งขึ้น ปัญหาอุปสรรคต่างๆ มักจะได้คำตอบ (วิปัสสนา) พฤติกรรมสุขภาพก็จะตามมาได้ หมั่นเจริญสมาธิวิปัสสนาเป็นประจำจะมีสุข ห่างไกลจากโรคภัยตลอดไป
*ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน*

ความสุขภายในใจ


ความสุขเป็นสิ่งที่คนเราต้องการ หลายคนคิดว่าการมีเงินทองมากมาย หลายคนคิดว่าคือการมีหน้าที่การงานสูงส่ง มีบริวารมากมาย การได้รับคำชื่นชมจากบุคคลภายนอก คือความสุขในชีวิต

แต่ในบางครั้งเมื่อมีเงินทองมากมาย มีหน้าที่การงานใหญ่โต มีบริวารรายล้อม หรือได้รับคำชื่นชมจากบุคคลภายนอก กลับไม่ได้ทำให้เรามีความสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น นั่นเพราะสิ่งสำคัญใน การแสวงหาความสุขก็คือ ตัวของเราเอง การทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย มีอารมณ์ขันมองโลกในแง่ดี จะช่วยให้จิตใจเบิกบาน ช่วยลดความตึงเครียดในจิตใจ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความสุขที่เกิดขึ้นจากจิตใจของเราเอง

การสร้างความสุขให้กับตนเองมิใช่สิ่งที่ยากลำบาก หากความสุขนั้นเป็นความสุขที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา
*ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด*

“บอดี้สแกน” รับรู้ใจ ลดความเครียด


รู้จัก "บอดี้สแกน" (Body Scan) มาตั้งแต่ปี 2543 ในช่วงที่เตรียมทำโครงการหัวใจใหม่ชีวิตใหม่ ก่อนจะเขียนเป็นหนังสือ โดยศึกษาจากหนังสือ Full Catastrophe Living ที่เขียนโดย ดร.จอน คาบัต-ซินน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยลดความเครียดของศูนย์การแพทย์แมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา


ดร.จอน คาบัต - ซินน์ ใช้หลักการที่เรียกว่า "Mindfulness-Based Stress Reduction" เขียนย่อเป็น MBSR คือการใช้ "การรับรู้กับปัจจุบันขณะมาช่วยลดความเครียด" ซึ่งคำว่า "Mindfulness" หรือ "การรับรู้กับปัจจุบันขณะ" นี้ คือหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา ซึ่งท่านติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนามพูดถึงอยู่เสมอ


ช่วงปี 2544 ผู้เขียนและทีมงานได้นำบอดี้สแกนเข้ามาใช้ในโครงการหัวใจใหม่ชีวิตใหม่ และในเวิร์กช็อปต่อๆ มา จนกระทั่งทุกวันนี้ เรายังคงเริ่มเวิร์กช็อปในภาคบ่ายหลังอาหารกลางวัน ด้วยบอดี้สแกน เป็นเวลาประมาณ 45 นาที ด้วยการให้ผู้เข้าร่วมโครงการนอนหงายกับพื้น แล้วผู้นำกระบวนการจะแนะนำให้ผู้เข้าร่วมเคลื่อนความคิดไปยังตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย และลองรับรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับร่างกายส่วนนั้น เช่น เมื่อเลื่อนความคิดไปยังต้นขาซ้าย ให้ลองดูว่ากำลังรู้สึกที่ขาซ้ายหรือไม่รู้สึกอะไร


อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังๆ เริ่มรู้สึกว่า บอดี้สแกนที่พวกเราหลายๆ คนทำกันในเวิร์กช็อป ดูจะมีวัตถุประสงค์เปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งหลายๆ คนบอกว่า "เป็นการนอนหลับหลังมื้อเที่ยง"

จำได้ว่า รู้สึกไม่ค่อยดีนักกับคำว่า "นอนหลับตอนเที่ยง" เข้าใจว่า บอดี้สแกนไม่ใช่การนอนหลับ แม้จะยอมรับว่า "การนอนหลับ" ในช่วงบ่ายไม่ได้เสียหายอะไร เพราะหลายๆ ประเทศในยุโรปก็มีการนอนหลับในช่วงบ่ายหลังมื้อเที่ยงที่เรียกว่า "Siesta" ก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นมาทำงานกันอย่างกระฉับกระเฉงหลังจากนั้น

แต่ "บอดี้สแกน" ให้ผลดีมากไปกว่า "Siesta" มีงานวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับพบว่า ร่างกายของเราจะต้องใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงในการทำให้เกิดการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อก่อนที่การนอนหลับจะเคลื่อนไปสู่ "การหลับลึก" ซึ่งการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบที่เกิดขึ้นในการนอนสามสี่ชั่วโมงแรกนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการทำบอดี้สแกนเพียง 30 นาทีเท่านั้น

ดร.จอห์น คาบัต - ซินน์ ให้ความสำคัญกับเรื่องบอดี้สแกนมาก และเขาถือว่าเป็น "การฝึกหัด" ที่เป็นแกนหลักวิธีหนึ่งเพื่อเข้าถึง MBSR เขาจะแนะนำให้ผู้เข้าร่วม "ไม่หลับ" ไม่ว่าจะง่วงสักเพียงใด เพราะเวลาที่เริ่มผ่อนคลายนั้น หลายๆ คนอาจจะเคลิ้มๆ หลับไปได้ เขายังแนะนำว่าถ้ากำลังรู้สึกว่าจะหลับ ขอให้ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ เพราะวัตถุประสงค์หลักของบอดี้สแกนต้องการให้เรา "ตื่นรู้" อยู่กับ "ความผ่อนคลาย" ของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายๆ ทีละจุดทีละตำแหน่ง ไม่ได้ต้องการให้หลับ และ "การตื่นรู้กับกล้ามเนื้อแบบนี้" จะให้ความผ่อนคลายที่เบาสบายและให้ผลดีได้มากกว่าการนอนหลับทั่วๆ ไป อย่างน้อยในช่วงที่มีเวลาไม่มากพอที่จะหลับได้ยาวหลายๆ ชั่วโมงเหมือนในช่วงกลางคืน


โดยรวมๆ เวลาที่นำบอดี้สแกนเองมักจะแนะนำไม่ให้หลับ ยกเว้นว่าไม่ไหวจริงๆ และย้ำว่าบอดี้สแกนไม่ใช่การนอนหลับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนเที่ยงหลังกินอาหารเสร็จ คงให้ทุกๆ คนแยกย้ายกันไปนอนในห้องพักน่าจะสบายกว่าต้องมานอนรวมกันในห้องประชุมกระมัง


หลังจากได้รู้จักและคลุกคลีอยู่กับบอดี้สแกนมาเป็นเวลาเกือบสิบปี ในช่วงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสกลับมาอ่านหนังสือ Full Catastrophe Living ของ ดร.จอน คาบัต - ซินน์ ใหม่อีกรอบ และยังได้มีโอกาสสั่งหนังสือเล่มใหม่ๆ ของเขา ทั้งที่เขาเขียนเองและเขียนร่วมกับคนอื่นๆ พบว่า ดร.จอน คาบัต - ซินน์ ยังให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐานอย่างบอดี้สแกนเหมือนกับที่เคยให้และบันทึกไว้ในหนังสือเล่มแรกๆ ของเขา

ทำให้ได้ทดลองกลับมาฝึกบอดี้สแกนด้วยตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม โดยนำมาใช้เป็นกิจวัตรประจำวันเลย ไม่ได้ทำเฉพาะในช่วงที่มีเวิร์กช็อปเท่านั้นเหมือนกับช่วงก่อนๆ พบว่า ได้เรียนรู้อะไรจากบอดี้สแกนเพิ่มขึ้นอีกหลายๆ เรื่อง


หนึ่ง พบว่า บอดี้สแกนช่วยทำให้ผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่มากขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยนึกว่าตัวเองผ่อนคลายได้เก่งมากแล้ว เมื่อกลับมาฝึกฝนอย่างเป็นประจำก็ยิ่งพบว่า ร่างกายยังมีความตึงเครียดอยู่เยอะมากและยังสามารถผ่อนคลายได้อีกมาก


สอง พบว่า บอดี้สแกนช่วยทำให้กลับมาที่ "ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในร่างกาย" (Body Sensation) ได้ง่ายมากขึ้น และการกลับมา "รับรู้ความรู้สึก" ที่ร่างกายนี้ เป็นปัจจัยสำคัญมากๆ เพราะจะสามารถเป็น "สัญญาณเตือนภัย" ให้กับเราได้ก่อนที่ร่างกายจะตกลงไปสู่ "สภาวะเครียด" ที่รุนแรงกว่าเดิม คือเมื่อรับรู้ว่าส่วนของร่างกายกำลังตึงตัวอยู่นั้น ระบบของร่างกายจะค่อยๆ ปรับสภาพไม่ให้ตกเข้าไปสู่สภาวะเครียดแบบลึกและไม่รู้ตัว


สาม พบว่า บอดี้สแกนช่วยทำให้ "ยอมรับ" กับทุกสถานการณ์ได้ง่ายมากขึ้น เพราะ "บริบท" อย่างหนึ่งในการทำบอดี้สแกนคือ "ต้องปล่อยไป" "ต้องทิ้งไป" ความตึงตัวต่างๆ เราต้องปล่อยไป เป็นการใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงของโลกโดยที่เราไม่ต้องฝืนไม่ต้องต่อสู้

และเมื่อรับรู้กับความรู้สึกตึงตัวที่เกิดขึ้นแล้ว การ "ใส่ใจ" กับร่างกายในบริเวณนั้นจะค่อยๆ ทำให้เกิดการคลายตัวและ "ปล่อย" เมื่อร่างกายสามารถ "ปล่อยสบาย" ได้แล้ว อารมณ์และความคิดจะค่อยๆ ปรับสภาพให้สามารถ "ปล่อยคลาย" ได้ง่ายมากขึ้นตามไปด้วย เพราะมนุษย์ในยุคปัจจุบันจะมีปัญหาในเรื่องของ "ความคิดและอารมณ์ที่สับสน" กันอยู่มาก การฝึก "ปล่อยสบาย" ที่ร่างกายจะช่วยได้มาก

โดยรวมๆ แล้ว พบว่า บอดี้สแกนมีประโยชน์มากกว่าที่เคยคาดคิดไว้ เพราะ "ความเครียด" นั้นเปรียบเสมือน "ภัยร้าย" ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวของเรา และคนที่เครียดมักจะไม่รู้ตัวว่าเครียด งานวิจัยจำนวนมากพบว่าการฝึกบอดี้สแกนให้เป็นกิจวัตร จะสามารถช่วยตัดวงจรของความเครียดที่ก่อเกิดและทำร้ายร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี
*ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน*

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เกร็ดความรู้ วิธีทำให้หายปวด เมื่อเป็นตะคริว



ถ้าเป็นตะคริวที่น่อง ..ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง ใช้มือข้าวหนึ่งยกประคองส้นเท้าและใช้มืออีกข้างค่อย ๆ ดันปลายเท้าขึ้นลงให้เต็มที่อย่างช้า ๆ ประมาณ 5 นาที แล้วนวดเบา ๆ ที่น่อง หรืออาจทาครีมหรือน้ำมันเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้นไม่ควรนวดแรง ๆ เนื่องจากอาจทำให้กล้ามเนื้อเจ็บได้และอาจเป็นตะคริวซ้ำได้อีก



ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขา.. ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง ใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้า อีกข้างหนึ่งกดลงบนหัวเข่าจากนั้นค่อย ๆ นวดบริเวณที่เป็นตะคริวเบา ๆ



ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า.. ให้เหยียดนิ้วเท้าให้ตรง และลุกขึ้นยืนเข่ยงเท้า จากนั้นค่อย ๆ นวดบริเวณ นิ้วเท้าเบา ๆ





ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วมือ.. ให้เหยียดนิ้วมือออกและค่อย ๆ นวด บริเวณนิ้วมือเบา ๆ



สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อย ๆ ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง อยู่เสมอ ถ้าเป็นบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์!!!

เรื่องเล่าสอนใจ รองเท้ากับความรัก



รองเท้าแตะมีขายตามร้านทั่วไป เวลาที่เราไปเห็นก็จะนึกสนใจ มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี




รองเท้าบางคู่ใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า อาจจะรู้สึกว่ารองเท้า คู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน




รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป หรือ หลวมไป แต่ใครจะรู้ บางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้




รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป




ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเมื่อเราใส่แล้วจะดีเหมือนกับที่คนอื่นใส่




ใครที่มีรองเท้ามากเกินความจำเป็น เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน




แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นได้ผ่านเท้า ของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ บางคู่อาจดูโทรม บางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่ แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ อยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อ เป็นเจ้าของ นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น ซึ่งจะไม่มีทางได้สัมผัสความรักระหว่างเจ้าของกับรองเท้า




รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาได้ไม่ยาก และไม่ง่ายแต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ ควรรีบตัดสินใจซื้อก่อนที่จะถูกคนอื่นมาตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้น อาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้




ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย อย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน และในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี




รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วเท่ แต่รองเท้าสมัยเก่า ใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด เมื่อเจอแล้วควรใส่อย่างถะนุถนอมจะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน...




วิธีลดความเครียด แบบง่ายๆ (เกร็ดความรู้)

คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวล ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง

คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ

คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์

คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น

คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม

คนทุกคนมีปัญหา อยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร ต่างหาก ^-^

เรื่องน่ารู้ แอปเปิ้ล + น้ำผึ้ง แก้รอยสิว


ก่อนอื่น ต้องเตรียม แอปเปิ้ล ให้พร้อม (ใช้แอปปเปิ้ลเขียว)

ล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง

จากนั้นใช้เนื้อแอปเปิ้ลเขียวครึ่งผล ผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ
บดรวมกันให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
ทาให้ทั่วใบหน้า เน้นเป็นพิเศษบริเวณที่เป็นแผลเป็น ทิ้งไว้ 20 นาที
แล้วล้างออก
สูตรนี้ทำได้ทุกวัน นอกจากจะช่วยให้รอยสิวค่อยๆจางลงแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวและป้องกันไม่ให้สิวกลับมากวนใจได้ด้วย....

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีสังเกต อาการผิดปกติของร่างกาย จากเล็บ


1.เล็บมีลักษณะสีขาวเป็นแผ่นตรงกลาง : อาจมีความผิดปกติกับตับ หรือมีโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของตับผิดปกติ

2.เล็บมีลักษณะหนากว้าง โค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีม่วงคล้ำ : ลักษณะแบบนี้พบมากในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง

3.เล็บมีลักษณะเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา : อาจเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า สะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง เพราะลักษณะแบบนี้จะพบในผู้ป่วยโรคผิวหนังถึง 70%

4.เล็บมีลักษณะขาวซีด อ่อน แบนและบุ๋ม : ลักษณะแบบนี้พบมากในคนที่ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมักจะเป็นโรคโลหิตจาง

5.เล็บมีลักษณะเป็นสีเหลือง : ถ้า พบลักษณะแบบนี้ในเล็บบนนิ้วมือที่ถนัด อาจเป็นเพราะสารนิโคตินที่มาจากบุหรี่เกาะบนเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ ลักษณะนี้จะพบมากในผู้ป่วยโรคปอด

6.เล็บมีลักษณะเป็นจุดหรือเส้นสีม่วงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก : จะพบมากในผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ และโรคขาดวิตามินซี

7.เล็บมีลักษณะเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ : อาจขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลล์สร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์ หรือกำลังมีปัญหาสุขภาพ อาจจะมีโรคภายในที่ทำให้เจ็บป่วยหนักขึ้น

8.เล็บมีลักษณะสีดำ ส่วนมากพบในคนที่ขาดวิตามินบี 12 และในผู้ป่วยโรคลำไส้ผิดปกติ อาจมีจุดดำๆ เกิดขึ้นตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปากและริมฝีปาก

*อย่าลืม!! หมั่นสังเกต สีเล็บตัวเองบ้างนะครับ*

นม มีประโยชน์มากมาย


รายงานล่าสุดจากผลวิจัยร่วมกันของมหาวิทยาลัยบริสทัลในอังกฤษและศูนย์ วิจัยทางการแพทย์แห่งควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย สรุปว่าการดื่มนมเป็นประจำจะช่วยยืดอายุคนเราได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์
นมเพียง 200 มิลลิลิตรต่อวัน นอกจากจะให้ปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ยังช่วยบำรุงหัวใจและช่วยในการสร้างฮอร์โมน IGF-1 ที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ เพิ่มภูมิต้านทาน และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายด้วย ในเด็กโตและผู้ใหญ่ แนะนำให้ดื่มนมพร่องมันเนยเพื่อลดปัญหาการสะสมของไขมัน ส่วนเด็กเล็กควรได้รับประโยชน์จากนมสดแท้ๆ จะดีกว่า
สำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มนม หันมาดื่มนม วันละแก้ว 2 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ

บทความดีๆ สอนใจ ห้ามใช้ยางลบ… นะ


สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ
ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากแก้ให้มันตรง สวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการเช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน
แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า ฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด
คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่า ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้ โดยไม่ต้องใช้ยางลบ

เคล็ดลับความงาม วิธีกระชับรูขุมขน ให้เรียบเนียน



ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่ขาว) ไข่มีสรรพคุณในการช่วยกระชับผิว กระชับรูขุมขน เหมือนกับพวกโทนนิ่งโลชั่น

วิธีทำ
ให้ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดก่อน หรืออาจจะใช้น้ำนมก็ได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผิวสดชื่น
จากนั้นตอกไข่ใส่ชาม แยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ใช้เฉพาะไข่ขาวทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที
ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นก็ทามอยส์เจอไรเซอร์ปิดท้าย